21 กันยายน 2553

ทำไมจึงต้องทำธุรกิจเครือข่าย ?

 เชื่อว่าหลาย ๆ คนที่กำลังทำธุรกิจเครือข่าย คงมีเหตุผลดี ๆ มากมายที่ทำให้ตัดสินใจเข้าร่วมทำธุรกิจนี้ในตอนแรก   ซึ่งวันนี้ผมอยากจะแบ่งปันถึงเหตุผลที่ควรเลือกทำธุรกิจเครือข่าย   เหตุผลนั้นไม่ใช่เพราะเรื่องเงิน หรือเรื่องเวลา ถ้าทุกท่านเข้าใจอย่างที่ผมเข้าใจ ทุกท่านจะเห็นว่าการทำธุรกิจเครือข่ายนั้น  มีข้อดีมากเกินกว่าที่คุณจะสามารถจินตนาการได้    คุณพร้อมที่จะเข้าใจเหตุผลนี้หรือยัง ?

  

การทำธุรกิจเครือข่าย นอกจากเราจะมีโอกาสสร้างสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้แบบ passive income ซึ่งก็คือรายได้ที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง   ถึงแม้เราจะหยุดทำงานไปแล้วก็ตาม   โดยรายได้นี้เกิดจากการสร้างเครือข่ายผู้บริโภคจำนวนมากนั่นเอง ซึ่งประเด็นนี้ผมเชื่อว่าหลาย ๆ ท่านที่กำลังทำธุรกิจเครือข่ายน่าจะเข้าใจประเด็นนี้ดีอยู่แล้ว

แต่สำหรับเหตุผลที่ผมเองตัดสินใจทำธุรกิจ นี้ และเชื่อว่าหลาย ๆ ท่านที่ยังไม่ได้ตัดสินใจทำธุรกิจนี้ ควรจะลงมือทำธุรกิจเครือข่ายนั่นก็เพราะ การทำธุรกิจเครือข่ายจะสามารถช่วยยกระดับ และเปลี่ยนแปลงตัวท่านอย่างสิ้นเชิง ทั้งภายใน สู่ภายนอก ตั้งแต่วิธีคิด วิธีพูด วิธีการเข้าหาและใช้ชีวิตร่วมกับผู้คน ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ได้จากธุรกิจเครือข่าย ธุรกิจเดียวเท่านั้น

ขอผมยกตัวอย่างตัวผมครับ ผมเองเป็นคนขี้อาย และไม่มีความรับผิดชอบต่อการทำงาน ทำงานแบบผลัดวันประกันพรุ่ง และจับจด นั่นก็คือไม่เคยทำการงานอะไรสำเร็จเลยแม้แต่อย่างเดียว ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่อันตรายต่อความสำเร็จในชีวิตของผมอย่างมาก เพราะถ้าไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ผมต้องกลายเป็นคนล้มเหลวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน

แต่เมื่อผมเข้าร่วมธุรกิจเครือข่าย ผมได้พบกับการพัฒนาตนเอง ที่สอนให้ผมเห็นความสำคัญของการพัฒนาความรู้ในทุก ๆ ด้าน สอนให้ผมเข้าร่วมสัมมนาที่จะเปลี่ยนความเชื่อเดิม ๆ ของผมอย่างสิ้นเชิง และเพราะธุรกิจเครือข่ายนี้เอง ที่ทำให้ผมได้มีโอกาสค้นพบสิ่งที่เป็นแรงผลักดันที่แท้จริงของผม ที่ไม่เคยค้นพบมาก่อน

นั่นก็คือความต้องการที่จะเป็นโค้ชมืออาชีพ ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนั้นใช้เวลาไม่ถึง 2 ปี และส่งผลทำให้ผมสามารถเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตของผมได้  ทุกท่านคิดว่าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจหรือเปล่าครับ ?
ทุก ๆ ท่านที่เข้ามาทำธุรกิจเครือข่าย  เมื่อได้มีการเรียนรู้พัฒนาตนเอง เมื่อคุณพบว่าสิ่งที่เป็นความปรารถนาของคุณจริง ๆ คืออะไร คุณอาจจะหันมาทำสิ่งที่คุณรักก็เป็นได้ ซึ่งสิ่งที่จะติดตัวคุณมาก็คือความรู้ และแนวคิดดี ๆ มากมาย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมกล้าพูดว่าคนทุก ๆ คนควรทำธุรกิจเครือข่ายนั่นเอง

แต่สิ่งที่สำคัญก็คือคุณต้องแน่ใจว่า ธุรกิจเครือข่ายที่คุณกำลังทำ   เน้นการสร้างความรู้ให้เกิดขึ้นกับตัวคุณอย่างแท้จริง และการสร้างความรู้ให้กับคุณนั้นต้องเป็นความรู้ในทุก ๆ ด้าน ทั้งวิธีคิด และวิธีการ ไม่ใช่เฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง

เพราะปัจจุบันธุรกิจเครือข่ายจำนวนมาก มีระบบที่สอนให้นักธุรกิจทำตัวเหมือนหุ่นยนต์  นั่นก็คือเข้าใจทุก ๆ ขั้นตอนของการทำงาน แต่ไม่มีความรู้นอกเหนือจากสิ่งที่เรียนมาเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เข้าใจผิดอย่างยิ่ง และไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อยถ้าคุณเข้าร่วมในธุรกิจนั้น เพราะเมื่อคุณก้าวออกมาจากธุรกิจนั้น ความรู้ที่คุณมีไม่สามารถนำมาใช้ได้อีกเลยในโลกภายนอก นั่นจึงเป็นสิ่งที่ทุกท่านต้องพึงระวัง

สุดท้ายผมขอให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่กำลังทำ ธุรกิจเครือข่าย ให้ยกระดับความรู้ของตัวท่านในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างมนุษยสัมพันธ์ การขาย การพูดในที่สาธารณะ การสร้างบุคลิกที่ดี เป็นต้น ซึ่งเมื่อใดก็ตาม ที่คุณกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องราวเหล่านี้ทั้งหมด   นอกจากคุณจะสามารถประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย ในอนาคตคุณย่อมสามารถประสบความสำเร็จได้ในทุก ๆ ธุรกิจที่คุณทำอีกด้วย

ติดต่อสอบถามได้ที่ ราเชนทร์
Tel-083-707-7661 
E-mail rashane_marine@hotmail.com


"เคยมีคนตั้งกระทู้ไว้ ในเว็บพันทิป แล้วมีคนมาตอบได้ค่อนข้างน่าสนใจเป็นการถามใจตัวเราเอง (แบบไม่หลอกตัวเอง)
ว่าเราเหมาะที่จะทำธุรกิจเครือข่ายหรือไม่"







 ผมมีคำถามอยู่ 22 ข้อ ให้คุณลองถามตัวคุณเองด้วยใจที่เป็นกลางไม่ลำเอียง แล้วคำตอบที่คุณตอบโจทย์ที่ผมให้ไป จะตอบความสงสัยว่าทำไมถึงยังมีคนทำธุรกิจเครือข่าย
  1. คุณคิดว่าเงินเดือนที่คุณได้เทียบกับความสามารถของคุณเหมาะสมกันไหม
  2. คุณ พอใจแล้วใช่ไหม ที่เงินเดือนของคุณถูกกำหนดด้วยปลายปากกาของคนที่เรียกว่า หัวหน้า และจะพิจารณาเพียงแค่ปีละ 1 ครั้ง และเพิ่มครั้งละ 5-10% ต่อไป
  3. คุณชินไหมกับการที่ต้องขออนุญาติใครสักคนเพื่อที่จะ ไปพักผ่อน, ไปเยี่ยมคนที่คุณรัก, ไปทำอะไรที่คุณอยากทำในวันจันทร์-วันเสาร์
  4. คุณ เคยมองขึ้นไปในบริษัทที่คุณทำงานอยู่ตอนนี้ไหมว่าหัวหน้าของคุณ ผู้จัดการของคุณทำงานมากี่ปีแล้ว และมีรายได้เท่าไหร่ อีกกี่ปีคุณจะมีตำแหน่งหรือเงินเดือนเท่าเขาเหล่านั้น
  5. คุณคิดว่าสินค้าทั่วไปตามท้องตลาดให้อะไรกับชีวิตคุณได้บ้าง นอกจากการซื้อใช้หมดไป ซื้อซ้ำใหม่เรื่อยๆ
  6. คุณคิดว่า Big-C, Makro, Lotus, โชว์ห่วย, 7-11 ฯลฯ มีรายได้เดือนละเท่าไหร่? จากใคร?
  7. คุณคิดว่าที่มีดารามาโฆษณาสินค้าค่าตัว 7 หลัก จริงๆ แล้วใครเป็นคนจ่ายค่าโฆษณา และสินค้านั้นคุณคิดว่าดาราได้ใช้จริงๆ หรือไม่
  8. งาน ที่คุณทำวันนี้หากคุณเสียชีวิต รายได้ที่คุณเคยได้จะสามารถมีเข้าบัญชีคุณ เหมือนที่คุณยังมีชีวิตหรือไม่ หรือหากคุณไม่มีรายได้นี้แล้วคุณมีรายได้สำรองอะไรอีกไหม
  9. คุณเคย รู้จักอะไรสักอย่างที่ดีกับชีวิตคุณมากๆ ไหมครับ และเมื่อคุณรู้แล้วคุณจะเก็บไว้เพียงคนเดียว หรือจะบอกให้คนที่คุณรักได้รู้ด้วย
  10. คุณเชื่อหรือไม่ครับว่าตัวคุณเองเป็นคนที่มีศักยภาพ และมีความสามารถที่จะสามารถเป็นผู้นำครอบครัวและผู้นำเพื่อนๆ
  11. คุณเชื่อหรือไม่ครับว่ามนุษย์ทุกคนมีความต้องการ อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น
  12. คุณ มีความมั่นคงในชีวิตแล้วหรือยัง หากไม่มีคุณคนที่คุณรัก ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก เมีย ของคุณเขาเหล่านั้นจะสามารถดำรงชีวิตได้โดยไม่ลำบากใช่หรือไม่
  13. หาก คุณรู้ว่าเพื่อนคุณ ญาติคุณ หรือคนที่คุณรู้จักกำลังทำงานบางอย่างที่สุจริต เพื่อคนที่เค้ารักด้วยใจมุ่งมั่น ด้วยหัวใจที่ต้องการกตัญญูต่อพ่อแม่ ต้องการแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กับคนที่เค้ารัก ต้องการวางรากฐานความมั่นคงให้กับ ลูก เมีย คุณจะคิดยังไงกับเค้าเหล่านั้น
  14. คุณเชื่อเชื่อหรือไม่ว่าในสังคมมีคนดีและคนไม่ดีผสมปนเปกันอยู่
  15. คุณคิดว่าตัวคุณจะสามารถทำอะไรเพื่อสังคมได้บ้าง
  16. คุณคิดว่าตัวคุณมีคุณค่าต่อคนที่คุณรักเพียงพอแล้วหรือยัง
  17. อีก 3-5 ปีข้างหน้าคุณจะมีรายได้เท่าไหร่ ทำงานตำแหน่งอะไร ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปจากวันนี้หรือไม่
  18. หากวันนี้คุณประสบอุบัติเหตุจนไม่สามารถลุกจากเตียงได้ คุณจะหารายได้จากไหนเพื่อเลี้ยงชีวิต
  19. คุณอยากมีเวลาอยู่กับคนที่คุณรักมากกว่าปัจจุบันไหม หรือว่าแค่เจอกันหลังเลิกงานหรือช่วงวันหยุดก็พอแล้ว
  20. คุณ แปลกใจไหมว่าคนที่จบดอกเตอร์, อาจารย์, บัณฑิตเกียรตินิยม, ญาติคุณ, คนที่คุณรัก, คนที่คุณรู้จัก ฯลฯ ถึงมาทำธุรกิจเครือข่าย คุณคิดว่าเค้าเหล่านั้นโง่หรือโดนล้างสมอง หรือเค้าเห็นอะไรที่มากกว่าที่คุณเห็น
  21. คุณคิดว่าคุณรู้จักธุรกิจ เครือข่ายดีแค่ไหน รู้จากใคร รู้ตอนที่คุณเปิดใจฟังหรือปิดใจฟัง ได้ศึกษาดีแล้วหรือยังที่จะตัดสินอะไรว่าดีหรือไม่ดี (จริงๆ ข้อนี้ไม่อยากถามแต่มันจำเป็นต้องถามจริง)
  22. หากคุณเป็นเจ้าของกิจการอยู่แล้ว คุณคิดว่าลูกคุณจะมาทำกิจการของคุณต่อไหม หากลูกคุณไม่ทำกิจการของคุณจะเป็นอย่างไร
เป็นคำถามที่น่าสนใจ...
เพราะผมก็เชื่อว่าหลายๆคน ที่ไม่ได้ทำธุรกิจเครือข่าย ไม่ใช่เพราะเค้าไม่ชอบ แต่เพราะเค้ายังไม่เข้าใจมากกว่า
 
ติดต่อคุยกับผมได้ที่
E-mail : rashane_marine@hotmail.com
Tel      : 083-707-7661

แผนการตลาดมีกี่ประเภท?


ในธุรกิจขายตรง หรือธุรกิจเครือข่ายบ้านเรานั้น มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และการแข่งขันกำลังเข้มข้นขึ้นทุกขณะ จนเรียกว่าต้องจับตามองแบบไม่สามารถกระพริบตาได้กันเลยทีเดียว สำหรับมือใหม่ๆ หรือผู้ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ธุรกิจขายตรงนั้น มักจะได้พบเจอคำนำเสนอว่า สุดยอดผลิตภัณฑ์ สุดยอดแผนการตลาด ด้วยกันทั้งสิ้น และเมื่อตัดสินใจเข้าร่วมธุรกิจ หรือเริ่มสนใจหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ก็จะพบว่า ไม่ว่าบริษัทไหนๆก็มีสุดยอดผลิตภัณฑ์และ สุดยอดแผนการตลาดด้วยกันทั้งสิ้น แถมบางบริษัทก็ยังมีสุดยอดผู้นำ สุดยอดผู้บริหาร และอีกหลายๆสุดยอด ซึ่งก็คงไม่ผิดอะไรที่เขาจะรู้สึกเช่นนั้นครับ เพราะต่างก็มีความสุดยอดในมิติมุมมองส่วนตัวไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องของผลิตภัณฑ์ คงแล้วแต่ว่าผู้ใช้เป็นใครด้วย อย่างที่สุภาษิตคำพังเพยโบราณท่านว่า ลางเนื้อชอบลางยาของบางอย่างก็ใช้ได้กับบางคน แล้วของที่หลายๆคนใช้ได้บางคนก็ไม่ชอบหรือเกิดอาการแพ้ก็มี จริงไหมครับ เอาล่ะครับออกนอกเรื่องกันมามากแล้วขอวกเข้าประเด็นเลยดีกว่าครับ
 
สิ่งที่เราจะคุยกันวันนี้ก็เป็นเรื่องของ แผนการตลาด (Marketing Plan) หรือนักธุรกิจบางท่านอาจเรียก ระบบการปันผลตอบแทน (Compensation Plan) ศัพท์การตลาดที่นิยมใช้กันเป็นสากล เพื่อป้องกันความสับสนกับแผนการดำเนินกิจกรรมทางการตลาด อย่างไรก็ตามในบทความนี้ผมขอเรียกว่า "แผนการตลาด" เพื่อให้ฟังแล้วเป็นเรื่องเดียวกันกับที่วิทยากรของแต่ละบริษัท อธิบายระบบการปันผลตอบแทนให้กับสมาชิกครับ แผนการตลาดจัดเป็นปัจจัยระดับต้นๆข้อหนึ่ง ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาประกอบ การเลือกร่วมธุรกิจของสมาชิกหรือผู้จำหน่ายอิสระเลยทีเดียว เพราะมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับค่าตอบแทน ซึ่งอย่างที่เกริ่นเอาไว้แล้วว่า ธุรกิจเครือข่ายมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้มีแผนการตลาดหลายระบบถูกออกแบบมา เพื่อความเหมาะสมกับองค์ประกอบของตน และพยายามสร้างเสน่ห์แรงจูงใจให้เกิดความสนใจ และร่วมธุรกิจกับผู้ประกอบการ รายนั้นๆครับ แม้ว่าปัจจุบันเราพบว่า หลายๆบริษัทเลือกใช้แผนการตลาดที่ผสมผสานกันมากขึ้นแล้ว แต่เพื่อเป็นแนวทางในการทำความเข้าใจ ผมขอแจกแจงระบบของแผนการตลาดเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆดังนี้ครับ

1. แผนการตลาดแบบชั้นเดียว (Single Level Marketing)
 
ระบบนี้เป็นระบบที่มีมาดั้งเดิมครับ หลักการก็คือ ราคาทุนจะถูกบวกด้วยค่าตอบแทนของเจ้าหน้าที่แต่ละระดับชั้น เพื่อให้ได้ราคาขายของสินค้าหรือบริการนั้นๆ โดยมากแผนระบบนี้เน้นความมั่นคงและเหมาะกับสินค้าที่ราคาสูงๆ และเนื่องจากการจ่ายโบนัสจำนวนไม่มากนัก จึงมักจ่ายโบนัสเป็นรายเดือน 
ข้อสังเกตของแผนระบบนี้คือ
  • ไม่ สนับสนุนให้เกิดการชักชวนผู้อื่นเข้ามาร่วมทำธุรกิจ เนื่องจาก จำนวนชั้นของการปันผลมีจำกัดโดยมากการชักชวนผู้อื่นเข้ามาร่วม ธุรกิจจึงอยู่ในดุลยพินิจของผู้ที่อยู่ในระดับสูงขึ้นไปเท่านั้น
  • โอกาสในการเจริญก้าวหน้าหรือการเลื่อนตำแหน่งเป็นไปได้ยาก
  • การเรียนรู้ง่าย อธิบายไม่ยาก ขั้นตอนการคำนวณไม่ซับซ้อน
  • ผู้ร่วมธุรกิจ/ตัวแทน สามารถทราบจำนวนชัดเจนของผลตอบแทนที่จะได้รับตั้งแต่ลูกค้าสั่งซื้อ
              "พูดง่ายๆว่าซื้อมาขายไปกำไรเข้ากระเป๋านั่นเองครับ"

2. แผนการตลาดแบบหลายชั้น (Multi-Level Marketing)
 ระบบการตลาดแบบนี้นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างมาก เพราะเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมธุรกิจทุกคน สามารถชักชวนผู้อื่นเข้ามาร่วมธุรกิจได้ และนับรวมผลงานของเขาเข้ามาของเป็นส่วนหนึ่งของผลงานตนเองได้ เพื่อรับผลตอบแทนที่มากขึ้น โดยผู้ร่วมธุรกิจทุกคนจะไปเริ่มทำคุณสมบัติจากระดับเดียวกัน ได้ผลประโยชน์เหมือนๆกัน และค่อยๆเลื่อนระดับสูงขึ้นตามผลงานของตนเองและทีมงาน และยังสามารถมีคุณสมบัติแซงผู้ที่ชักชวนตนเองเข้ามาได้อีกด้วย เนื่องจาก ระบบการตลาดแบบหลายชั้นนี้ เปิดโอกาสให้ตัวแทน หรือผู้ร่วมธุรกิจสามารถชักชวนผู้อื่นเข้ามาร่วมธุรกิจ และนับรวมผลงานเข้ามาของเป็นส่วนหนึ่งของผลงานตนเองได้ และสมาชิกทุกคนที่เข้ามาร่วมธุรกิจ ก็ได้รับโอกาสให้ชักชวนผู้อื่นเพื่อเข้า มาร่วมธุรกิจในองค์กรและรับผลประโยชน์ได้เหมือนๆกัน ตรงนี้แหละครับที่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ของระบบ จึงเป็นที่มาของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่รวดเร็ว และประสบความสำเร็จอย่างมาก ต่อมาการพัฒนาการของระบบการตลาดแบบหลายชั้นนี้มีอย่างต่อเนื่อง จนสามารถแยก ออกไปตามโครงสร้างหลักได้อีกหลายแบบดังนี้ครับ

2.1 Stair Step - ระบบผลต่างขั้นบันได
  
แผนระบบนี้จัดเป็นระบบดั้งเดิมในระบบการตลาดแบบหลายชั้นครับ โดยแต่ละระดับชั้นจะมีการกำหนดผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ชัดเจนลงไปเลยว่าอยู่ในระดับนี้จะได้กี่เปอร์เซ็นต์ แล้วถ้าระดับสูงขึ้นไปจะกี่เปอร์เซ็นต์ สำหรับระบบนี้ระดับยิ่งสูงก็จะได้เปอร์เซ็นต์เยอะกว่าระดับที่ต่ำกว่าครับ เวลาจ่ายผลประโยชน์ก็จะคำนวณจ่ายจากส่วนต่างของแต่ละระดับชั้น คล้ายๆกับว่าผู้อยู่ในระดับสูงมีหน้าที่รับผลตอบแทนของกลุ่ม (ของตนเอง+ของทีมงาน) มาจากบริษัท แล้วตัดจ่ายส่วนของทีมงานระดับล่างให้เขาไป ก็จะเหลือผลตอบแทนส่วนที่ตนจะได้รับจริง แต่ในปัจจุบันเพื่อป้องกันปัญหาทางการเงิน บริษัทมักเป็นผู้คำนวณและจ่ายโบนัสให้ ดังนั้นโบนัสที่ได้รับจึงเป็นโบนัสที่หักส่วนของทีมงานออกแล้ว ข้อสังเกตของระบบนี้คือ
  • มักจะมีการสะสมยอดผลงานเอาไว้ไม่ล้างทิ้ง ไม่จำกัดเวลา จึงเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถก้าวขึ้นสู่ระดับสูงขึ้นได้ แม้เพียงแค่บริโภคซ้ำ เท่านั้น
  • ผู้ที่ชักชวนสมาชิกมากย่อมมีสิทธิได้รับโบนัสมากขึ้น ทั้งจากยอดรวมขององค์กรที่ผลักดันให้ตนเองขึ้นสู่ ระดับสูงขึ้น แต่สมาชิกใหม่ที่เข้ามาก็ยังอยู่ในระดับแรกๆ จึงทำให้รายได้สูงขึ้นเพราะมีส่วนต่างมากขึ้น
  • ผู้ที่อยู่ในระดับสูง แม้จะมีเปอร์เซ็นต์ผลตอบแทนสูงกว่าระดับล่างแต่เมื่อผลงาน ส่วนใหญ่เป็นยอดของทีมงาน (ผู้ร่วมธุรกิจที่ชวนมา) ก็จะต้องจ่ายส่วนใหญ่ของผลตอบแทนให้ทีมงานไป และเหลือส่วนต่างอยู่ไม่มากนัก และหากต่อมาทีมงานเติบโตก้าวขึ้นสู่ระดับเดียวกับตน ก็หมายถึงการไม่มีรายได้ ทำให้ผู้นำต้องขยายงานในแนวกว้างอย่างต่อเนื่อง และผลก็คือหยุดทำงานไม่ได้
  • ในทางปฏิบัติมักพบว่า ปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ผู้ร่วมธุรกิจระดับบนไม่สนับสนุนให้ทีมงานก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกันหรือสูงกว่าตน พราะเกรงว่าจะสูญเสียรายได้
2.2. Brake Away - ระบบแยกคะแนนออกจากกลุ่ม
 ระบบนี้พัฒนาเพื่อ แก้ปัญหาเรื่องทีมงานเติบโตเป็นระดับเดียวกันกับตนเอง แล้วทำให้ผู้นำขาดรายได้ของระบบ Stair Step ซึ่งแก้โดยเมื่อพบว่าผลงานใต้องค์กรเติบโตขึ้นจนตำแหน่งชนกัน ก็จะยกคะแนนที่เกิดจากสมาชิกคนนั้น ออกจากองค์กรเพื่อไม่ให้คำนวณซ้ำซ้อน แล้วเปลี่ยนมาให้ผลประโยชน์ในอีกรูปแบบเช่นมองเป็น Level เพื่อเป็นรายได้ชดเชย อย่างไรก็ตามระบบหลักๆก็เป็นแบบ Stair Step อยู่ดีครับ ซึ่งบางคนก็เรียกกันติดปากว่าระบบ Stair Step - Brake Away รวมกันจนแยกกันไม่ออก



2.3 Matrix - ขยายแนวกว้างเพื่อให้ได้ผลประโยชน์แนวลึก
 ระบบ นี้ก็พัฒนาจากระบบ Stair Step อีกเช่นกันครับ เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้นำมีการขยายตลาด ด้วยการแนะนำผู้อื่นเข้าร่วมธุรกิจมาก ขึ้น (อาจเรียกว่าขยายแนวกว้าง) โดยการจูงใจด้วยการให้ผลประโยชน์ในชั้นลึก แนะนำมากขึ้นก็ได้ผลประโยชน์ในชั้นลึกมากขึ้น จะเห็นว่าแนวกว้างและแนวลึกมีความสัมพันธ์กัน เหมือน Matrix นั่นเองครับ เนื่องจากไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก จึงไม่ค่อยมีการพูดถึงหรืออาจมองว่าเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งในระบบ Stair Step

2.4. Uni-Level - มองแต่ละชั้นเป็นหนึ่งหน่วย
 
ระบบนี้ให้ผลตอบแทนตามชั้นลึก โดยกำหนดชัดเจนแน่นอนลงไปว่าเมื่อผู้จำหน่ายแต่ละท่านชักชวนผู้อื่นเข้ามา ร่วมธุรกิจแล้วจะได้รับผลประโยชน์ในแต่ละชั้น ชั้นละกี่เปอร์เซ็นต์ และลึกกี่ชั้น แต่ด้วยการตัดยอดแต่ละรอบออกมาคำนวณจ่ายแล้วล้างทิ้งไป ไม่นำมาพิจารณาอีกแล้วในรอบใหม่ ส่วนลดผลประโยชน์ที่ได้รับจึงมักมีการแกว่งตัว ทำให้ดูเหมือนกับระบบไม่ค่อยมีพลังขับเคลื่อน จึงมักจะปรับใช้ด้วยใช้เทคนิค Stair Step หรือ Uni-Level กลับหัวเข้าร่วม หรือนำไปรวมกับแผนการตลาดระบบอื่นที่มีการจ่ายผลตอบแทนสูงและเร็ว เช่น ระบบ Tri-Nary ซึ่งดูเหมือนจะได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ไม่เช่นนั้นแล้วการล้างคะแนนทิ้งไปในแต่ละรอบการคำนวณจะทำให้ Uni-Level ขาดความน่าสนใจไปเยอะทีเดียวครับ

2.5. Binary และ Tri-nary - แผนจับคู่
 
ระบบ Binary เป็นระบบ Balance คะแนน โดยอาจบังคับโครงสร้างให้เป็น หนึ่งแตกสอง คือผู้นำหนึ่งรายสามารถมีสมาชิกติดตัวในองค์กรเพียง 2 สาย (มักเรียกว่าขาซ้ายและขาขวา) แต่จะลึกลงไปกี่ชั้นก็ได้เรียกว่า Infinity ชั้นกันเลยครับ หากมียอดคะแนนมาจากทั้งสองขา Balance กันหรือจับคู่กันได้ก็จะจ่ายโบนัสให้ทันที ส่วนแผน Tri-nary นั้นผู้คิดค้นและนิยามศัพท์ก็คือนักออกแบบแผนการตลาดคนไทย คุณกัมปนาท บุญราศรี ครับ (คำว่า Tri ก็ล้อมาจาก ไตร ที่แปลว่า สาม นั่นเองครับ) แผนการตลาดระบบนี้ออกแบบเป็น 3 สายงานเพื่อแก้ปัญหาในการทำงานของระบบ Binary ที่ผู้นำขยายงานเป็น 2 สายแล้วเกิดยางแตก สายใดสายหนึ่งยอดสะดุดขึ้นมาก็จะขาดรายได้ จึงมีขาที่สามเป็นตัวยางอะหลั่ย โดยออกแบบวิธีการเฉพาะในการ Balance ของ Tri-nary เพิ่มเติม ทั้งระบบ Binary และ Tri-nary ได้มีการพัฒนาปรับใช้เทคนิคกันไปได้หลายแนวทางครับทั้ง Balance คะแนน และไม่ต้อง Balance คะแนน , บังคับโครงสร้าง และไม่บังคับโครงสร้าง , สะสมยอด และไม่สะสมยอด , รวมถึงการ UpGrade หรือ TopUp คือจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น และมี Matching ซึ่งเน้นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมจากความสำเร็จของทีมงาน คือมีผลตอบแทนคำนวณจากผลตอบแทนที่ทีมงานได้รับ

2.6. Party Plan - แผนลูกผสม
เป็น การนำระบบต่างๆ มาดัดแปลงใช้กันตามจินตนาการและความเข้าใจ ของผู้ออกแบบแผนการตลาด โดยมากพบว่าหากดัดแปลงกันไปจนถึงจุดหนึ่งแล้ว แผนการตลาดที่ได้จะอธิบายและทำความเข้าใจได้ยาก และคนทำงานตามไม่ทัน เมื่อคนไม่เข้าใจก็ขยายไม่ออกหรือทำงานช้านั่นเองครับ หลายๆแผนออกแบบก็เพื่อมาแก้ปัญหาระบบเดิม แต่ก็ควรทดสอบด้วยว่าจะสร้างปัญหาใหม่หรือไม่ อย่างไรก็ตามข้อดีก็คือ เทคนิคดีๆของแผนการตลาดก็มาจากแผนแนวนี้ครับ เช่น เทคนิค RollUp เป็นต้น แต่แหม!! ขอแซวหน่อยครับ หลายครั้งที่พบว่าชื่อแปลกๆบางครั้งก็นำมาใช้เรียกเพียงเพื่อสร้างความน่า สนใจแต่ไม่มีอะไรแตกต่างเลยก็มีเยอะครับ เช่น PowerMatch , CycleRing , MegaComplex

ไม่ว่าแผนการตลาดใดก็ตามต่างก็มีข้อเด่นข้อด้อยของมันกันทั้งสิ้น การทำธุรกิจขายตรงให้สำเร็จจึงไม่ใช่ที่อยู่ที่แผนการตลาดทั้งหมด แต่แผนการตลาดก็เป็นตัวเปรียบเทียบตัวหนึ่งในตลาดขายตรงปัจจุบันไปแล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันหมายถึงตัวกำหนดพฤติกรรมการทำงานและการบริโภคของผู้ร่วมธุรกิจไปแล้วในปัจจุบัน 
ดังนั้นแนวทางการเลือกทำธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งนั้น เราจะต้องพิจารณาปัจจัยหลายอย่างซึ่งเราจะมาคุยกันในโอกาสหน้าครับ
 
ติดต่อพูดคุยกับผมได้ที่
E-mail : rashane_marine@hotmail.com
Tel : 083-707-7661 

20 กันยายน 2553

แผนธุรกิจ Star Matching

         แผนธุรกิจ  Star Matching

แผน-starในธุรกิจเครือข่ายนอกจากผลิตภัณฑ์ต้องดีแล้วในธุรกิจเครือข่าย สิ่งที่สำคัญมากๆ อีกอย่างคือ แผนธุรกิจหรือแผนการตลาดที่คนส่วนใหญ่เรียกกันง่ายๆ ครับ คร่าวๆ เกี่ยวกับแผนธุรกิจ aimstar หรือที่คนที่ทำ aimstar เรียกว่า แผน Star Matching เป็นแผนแบบ Binary ครับ คือมีสายงานแค่ 2 สายงานครับ ซ้าย กับ ขวา เท่านั้น แผนนี้เป็นการเน้นขยายสายงานเชิงลึกครับ มีข้อดีคือทุกคนสามารถช่วยเหลือกันได้ง่าย เพราะถ้าเราช่วยทีม ทีมเองก็จะส่งผลถึงผลตอบแทนเราด้วย ไม่เหมือนกับการทำงานเชิงกว้างครับ สายงานไม่เกี่ยวข้องกันเลยยากที่จะช่วยเหลือกันครับ นอกจากนั้นยังสามารถนำคนติดตัวคุณหรือพูดง่ายๆ คนที่เราไปสปอนเซอร์ หรือคนที่เราไปชวนมา ไปวางไว้ที่ไหนก็ได้ครับไม่จำกัด จะอยู่ชั้นไหน ลึกลงไปเท่าไหร่ เค้าก็ยังเป็นคนติดตัวเพื่อนๆ ไปตลอด
มาดูรายละเอียดกันเลยครับ ว่า แผน Star Matching เป็นยังไง แต่ก่อนอื่นถ้าเราจะทำธุรกิจ -.- ต้องศึกษาเงื่อนไขก่อนครับ มีเงื่อนไข 3 ข้อดังนี้ครับ
  • อย่างแรกเลย ง่ายๆ ครับ เงื่อนไขแรกคือเพื่อนๆ ต้องเป็น member ก่อนค่าสมัคร 300 บาทครับ เป็น member แล้วก็สามารถซื้อสินค้าในราคาพิเศษได้แล้ว ลด 25-30% นอกไปจากนี้ยังได้คู่มือทำธุรกิจ aimstar 1 ชุด และประกันอุบัติเหตุ 100,000 บาท -.- แต่ผมว่าคงไม่มีใครอยากใช้ประกันนี้แน่ๆ อิอิ และจะได้ magazine ทุกๆ 2 เดือนด้วย ^^
gif_1




  •  อย่างที่สอง ถ้าหากอยากเป็นนักธุรกิจ aimstar หรือ supervisor ต้องมียอด PV ครบ 1000 ในเดือนในเดือนนึงครับ เดือนไหนก็ได้แค่ครั้งเดียว ถามว่า 1000 pv มันเป็นเงินเท่าไหร่ก็คิดได้ราวๆ 3,000 บาทครับ หลายคนถาม โหห ไมต้องซื้อแพงจัง =.= อ้าว  เพื่อนๆ จะไปแนะนำคนอื่น จะไม่ลองซื้อผลิตภัณฑ์ไปใช้หน่อยเหรอครับ เวลาไปแนะนำ จะพูดได้เต็มปากได้ไงถ้าไม่เคยลองใช้อะไรเลย แถม 3,000 บาท เนี่ยไม่ต้องซื้อทีเดียว นะครับ สะสมได้ อาจจะซื้อต้นเดือนที กลางเดือนที ปลายเดือนอีกที รวมเป็น 3,000 บาท ก็ได้แล้ว
gif_2

  • เงือนไขสุดท้าย ซื้อซ้ำ หรือพูดง่ายๆ รักษายอดของตัวเองครับ แค่ เดือนละ 900 บาท หรือวันละ 30 บาทครับ -.- แล้วทำไมต้องรักษายอดผมเคยเขียนไปแล้วครับ -.- ถ้าธุรกิจผลประกอบการลดลงใครเค้าจะเอาเงินมาจ่ายหละครับ ถ้า เพื่อนๆ ทำงานเป็น sale ขายของไรสักอย่าง แน่นอนครับ บริษัทคงต้องบอกให้เพื่อนๆ มียอดขายเท่าโน้นเท่านี้ รักษายอดเดือนนี้ หายอดเพิ่มเดือนหน้า ธุรกิจเครือข่ายก็เหมือนกันครับ แต่การรักษายอดมันต่ำกว่ากันมาก แถมเราก็ไม่ได้ไปขายใครครับ 900 บาทส่วนใหญ่ผมซื้อของจาก aimstar ปกติก็เกินอยู่แล้ว ยาสีฟัน ครีมล้างหน้า น้ำมันรำข้าว
gif_3

  • มีหลายคนสงสัยครับ อ้าวเกิดลืมรักษายอด โดนตัดออกไปเลยป่าว =.= ป่าวครับ เดือนไหนเพื่อนๆ ไม่ได้รักษายอด 900 บาท หรือ ประมาณ 300 pv ถ้าเกิดเครือข่ายๆ เพื่อนๆ มีรายได้เข้ามา เพื่อนๆ ก็แค่ไม่ได้รายได้ก็เท่านั้นเอง ถ้าเดือนตอนไป ไม่ลืมรักษายอดส่วนตัว 300 pv เดือนนั้นก็รับรายได้เหมือนเดิมครับ  
      
                หลังจากเรารู้ว่าเงื่อนไข 3 ข้อเป็นยังไง งั้นเรามาต่อกันเลยครับว่า เอ แล้วถ้าเราเป็นนักธุรกิจ aimstar เต็มตัวแล้ว เราจะมีรายได้จากทางไหนบ้าง ^^ ตอนแรกผมไปฟังยัง งงๆ แม่เจ้ามีจริงเหรอ เค้าบอกว่า จะมีรายได้ 6 ทาง -,- ในชีวิตประจำวันถ้ามีรายได้สัก 3 ทางก็สุดยอดแล่ะ ตัวผมเองสูงสุดก็เคยทำได้แค่ 3 ทาง อันนี้บอก 6 ทางเลย มีดังต่อไปนี้ครับ
  1. กำไรค้าปลีกครับ พูดง่ายๆ คือกำไรจากการขายนี่เอง 20-30% อับ
  2. โบนัสสมาชิก 20% โดยคิดจากยอดที่เกิน 1000 pv ของตัวเองเราเอง
  3. โบนัสสาขา 20% จากคนที่เราแนะนำ แต่ไม่เกิน 1000 pv
  4. Basic Bonus 30%
  5. Matching ชั้น ลูก 10%
  6. Matching ชั้น หลาน 5%
อย่าพึ่งทำหน้า งง กันหมดครับ เดี๋ยวผมจะมาว่ารายละเอียดกันทีละทางไปเลยให้เข้าใจกัน แจ่มๆ ไปเลยอับผม คลิกอ่านต่อด้านในได้เลยครับ

1. กำไรค้าปลีก 20-30%

อันนี้เหมาะมากครับ สำหรับคนชอบขายของครับ คือเราสามารถซื้อได้ในราคา member ยกตัวอย่างครับ น้ำมันรำข้าว ปกติอ่ะครับ ราคาข้างกระปุกคือ 900 บาท แต่เราสามารถซื้อได้ในราคา 750 บาท ถ้าเราไปข่ายต่อก็กำไร 150 บาท เข้ากระเป๋าแล่ะ หุหุ นอกจากนี้ยังมีแบบซื้อแบบแพคใหญ่เช่นน้ำมันรำข้าวจมูกข้าว 1 แพค มี 8 กระปุก เฉลี่ยแล้วกระปุกนึงเหลือ 550 บาทเอง
ค้าปลีก

2. โบนัสสมาชิก 20%

รายได้นี้จะเกิดเมื่อไหร่ ก็เกิดจากยอดของตัวเพื่อนๆ เองครับ โดยทาง aimstar จะคิดจากยอดที่เกิน 1000 pv แล้วคูณ 20% คืนเป็นเงินกลับมาให้เราครับ รายได้ส่วนนี้เหมาะกับคนแบบไหนเหมาะกับคนที่ชอบซื้อเยอะครับหรือมีครอบครัวใหญ่ทำให้มีการซื้อแต่ละเดือนเกิน 1000 pv ขึ้นไป โดยส่วนตัว =.= ผมค่อยมีรายได้จากทางนี้ครับเพราะบ้านเป็นครอบครัวเล็กๆ ลืมบอกไปครับ 1 pv จะเท่ากับประมาณ 3 บาทครับ  



  • ยกตัวอย่างเดือนนี้ผมซื้อน้ำมันรำข้าวจมูกข้าวแบบยกแพค 8 กระปุก 1000 pv และ AG bloc สำหรับลดความอ้วนให้คุณพ่อ 400 pv รวมเท่ากับ 1400 pv ผมก็จะได้เงินคืนในเดือนนั้นเท่ากับ 400 x 20% = 80 บาทครับ

3. โบนัสสาขา 20%

รายได้นี้จะเกิดตอนไหน รายได้นี้เหมือนค่าแนะนำครับ โดยคิดมาจากยอด pv ของคนที่เราแนะนำที่ไม่เกิน 1000 pv คูณ 20% จ่ายเป็นเงินคืนให้เรา เหมือนเป็นผลตอบแทนสำหรับการแนะนำสินค้า aimstar ให้คนอื่นๆ



  • ยก ตัวอย่างครับวันนี้เราแนะนำเพื่อน 2 คนใช้สินค้า aimstar โดยทั้ง 2 คน นาย A กับ นาย B ได้สมัครเป็น member และซื้อยอดสินค้า 1500 pv และ 800 pv ตามลำดับครับ
 gif_5
อ่ะๆ ยังมีต่อนิดนึงครับ แล้วถ้าสมมุติเพื่อนไปชวน C มาทำด้วย เค้าจะมาต่อตรงไหนเพื่อนๆ ครับ เคยสงสัยป่าว แน่นอนครับ aimstar เราเน้นการทำงานแค่ 2 สายงาน ซ้ายขวา มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีสายที่ 3 แน่ๆ ฉะนั้น C ก็จะมาต่อ A หรือ B ครับเรียกว่า placement ครับแล้วสมมุติต่อ A หละกัน เกิด C เค้าซื้อของ ถามว่ารายได้ข้อ 3 ใครได้ครับ aimstar ยุติธรรมครับ เราเป็นคนแนะนำเราได้รายได้ข้อนี้ครับ ^^ ไม่ใช่ A นะครับ
gif_6

4. Basic Bonus 30% จากยอด Balance

=.= คือถ้ามีรายได้แค่ 3 ทางตามที่กล่าวมา 3 ข้อผมคงไม่มาทำ aimstar แน่ๆ ครับ เพราะ รายได้ยังเป็นหลัก 100 บาทอยู่เลย แถมต้องขายและซื้ออีก รายได้ข้อ 4 นี่แล่ะครับเริ่มเป็นรายได้จากเครือข่ายแล้ว รายได้ข้อนี้ง่ายมากครับ aimstar จะคิดจากค่า pv ที่เท่ากันทั้ง 2 ข้าง แล้วคูณ 30% ครับ ตามที่ผมสอบถามผุ้ที่ทำมาเค้าบอกว่าถ้าทำจริงจังประมาณ 6 เดือนจะมีค่า pv ประมาณ 100,000 pv ครับ
ยกตัวอย่างครับ เราเองแนะนำ A,B และ C ให้รู้จักกับ aimstar แล้วทั้ง 3 คนก็สนใจที่จะเสร้างเครือข่ายของเค้าเอง โดยเค้าก็ไปแนะนำคนอื่นๆ ต่อตามรูปเช่น A ไปแนะนำ A1, A2 และ A3 ต่อเกิดเป็นเครือข่ายต่อไปเรื่อยๆ
สมมุติยอดข้างซ้ายเรา  100,000 pv และยอดข้างขวาเรา 120,000 pv aimstar จะคิด basic bonus ให้จากยอดที่เท่ากัน 2 ข้างคือ 100,000 pv x 30% = 30,000 บาท จ่าย คืนให้กับเราครับ แล้วยอดด้านขวา 20,000 pv ที่เกินไปหละ ไม่ต้องตกใจครับ aimstar จะยกเป็นยอดเริ่มต้นของเดือนหน้าเลย ^^ แหล่มมาก
gif_7

5. Matching ชั้นลูก 10%

รายได้ข้อ 5 และ 6 นี่ถือว่าเป็น passive income เลย ครับ ถามว่าดียังไงรายได้นี้หากเราทำไปถึงจุดๆ นึงแล้ว สามารถหยุดได้ครับ โดยจะมีรายได้ส่วนนี้ต่อเนื่อง แถมรายได้ข้อนี้ดีมากๆ เพราะเป็นการช่วยเหลือกันของทีมงาน ประมาณว่าเราช่วยเค้าสำเร็จ เราก็ได้รายได้กลับมาด้วย ^^ แหล่มอีกแล่ะ
ถามว่า ลูก คือใคร คำตอบง่ายๆ เลยครับ ลูกคือคนที่เราชวนมา ในรูปก็คือ A, B และ C ครับ  ยกตัวอย่างครับ เรา มียอดรวมด้านซ้ายเท่ากับ 100,000 pv แสดงว่า A ต้องมียอดซ้ายขวารวมกัน 100,000 pv ดูจากรูปด้านซ้าย A = 60,000 pv และขวา = 40,000 pv แสดงว่าไงครับ A เองก็มีรายได้ข้อ 4 นะครับ เท่ากับ 40,000 pv x 30% = 12,000 บาท
Aimstar เลยบอกว่า การที่ A จะได้รายได้ขนาดนี้ได้แสดงว่าคุณเองก็ต้องนะทุ่มเทให้ A ไม่น้อย aimstar เลยจะจ่ายเงินให้เรา = 10% ของยอดที่ A ได้รับในข้อ 4 หรือคิดง่ายๆ 40,000 x 10% = 4,000 บาท ดีหรือป่าวครับ เราช่วยเพื่อนให้ได้ 12,000 แล้วเราได้รายได้กลับมาด้วย
B ก็เช่นเดียวกันครับ B จะได้รายได้จากข้อ 4 = 60,000 pv x 30% = 18,000 บาท ซึ่งบริษัทจะจ่ายให้เราในฐานะที่ช่วย B = 60,000 x 10% = 6,000 บาท
C ก็เช่นเดียวกันครับจะได้มีรายได้ข้อ 4 = 30,000 x 30% = 9,000 บาท เราก็จะได้มีรายได้ด้วย 30,000 x 10% = 3,000 บาท แหล่มมากๆ เลยครับ
รวมรายได้ จากข้อ 5 = 4,000 + 6,000 + 3,000 = 13,000 บาท ว้าว เยี่ยมเลยครับ ^^
 gif_8

6. Matching ชั้นหลาน 5%

 Matching ชั้นหลานเป็นไงก็เหมือนกับ  Matching ชั้นลูกครับ แล้วหลานเป็นใคร หลานก็คือคนที่ลูกเราชวนมาไงครับ ในรูปก็คือ A1, C1, C2, B1, B2
ยกตัวอย่างครับ A1 มียอด balance ซ้ายและขวา 20,000 pv A1 จะมีรายได้ในข้อ 4 basic bonus = 20,000 x 30% = 12,000 บาท
เช่นเดียวกับข้อ 5 ครับ aimstar รู้ครับว่าเราต้องคอยสนับสนุน A1 ให้ประสบความสำเร็จจนมีรายได้ขนาดนี้ aimstar จะจ่ายผลตอบแทนให้ด้วยโดยคิดจากยอดของ A1 x 5%
ในกรณีนี้คือ 20,000 pv x 5% = 1,000 บาท ให้กับเราครับ
หลายคนบอกโห T T น้อยจัง อย่าลืมนะครับนี่ A1 คนเดียว ยกตัวอย่างถ้า เพื่อนๆ มี ลูก 5 คนแล้วลูกของเพื่อนๆ มีลูกอีก 5 คน เพื่อนๆ จะมีหลาน 25 คน
ถ้าแต่ละคนมียอด 20,000 pv เพื่อนจะมีรายได้ข้อ 6 = 25 คน x 1,000 บาท = 25,000 บาทครับ
เห็นป่าวครับ ในชีวิตมีลูกเยอะยิ่งจน แต่ใน aimstar เนี่ยมีลูกหลานเยอะยิ่งดีครับ :P
gif_9
 ติดต่อสอบถามได้ที่ ราเชนทร์
Tel-083-707-7661 
E-mail rashane_marine@hotmail.com